วันพุธที่ 12 กันยายน พ.ศ. 2555

แม่ไก่ กับลูกอินทรีย์

นิทานแม่ไก่กับลูกอินทรีย์ท่านจะรู้อย่างไรว่าท่านไม่ใช่พญานกอินทรี ????
กาลครั้งหนึ่งนานมาแล้วมีแม่นกอินทรีตัวหนึ่งบังเอิญออกลูกมาเป็นแฝด 
แม่อินทรีก็เฝ้าฟูมฟักลูกทั้งสองบนหน้าผา แต่มาวันหนึ่งพายุได้พัดมาที่รั
ของนกอินทรีพัดเอาแฝดผู้น้องตกลงไปยังพื้นเบื้องล่าง เดชะบุญที่ตรงนั้น
มีแม่ไก่กับลูกฝูงหนึ่งอาศัยอยู่ แม่ไก่ได้ฟูมฟักลูกนกอินทรีประดุจดั่งเป็น
ลูกของตัวเองจนเติบใหญ่ สอนเดินแบบไก่ หากินแบบไก่ และก็ร้องแบบไก่
จนอินทรีแฝดผู้น้องเข้าใจว่าตนเองนั้นคือไก่จริงๆ

มาวันหนึ่งแม่นกอินทรีหัดให้แฝดผู้พี่บิน แฝดน้องที่อยู่ด้านล่างเห็นแฝดพี่ี่ 
บินก็วิ่งไปถามแม่ไก่ว่า “แม่ๆดูนกบนนั้นบินสิครับ สง่างามจังเลย ผมอยาก
ทำได้แบบนั้นจัง”

แม่ไก่ได้ยินดังนั้นจึงตอบนกอินทรีผู้น้องไปว่า
“ลูกเอ๋ยเป็นไปไม่ได้หลอก ข้างบนนั้นคือพญานก เป็นนกอินทรีผู้สง่างาม 


แต่เราเป็นไก่เราทำแบบเขาไม่ได้หรอกลูก” ลูกนกอินทรีผู้น้องก็รับคำ 

และอยู่กับแม่ไก่สืบต่อไป


วันนี้เราอาจเป็นลูกนกอินทรีที่อาศัยอยู่กับฝูงไก่ก็ได้ เมื่อเราทำอะไรบางสิ่ง


บางอย่างที่ยิ่งใหญ่อาจมีเสียงทักจากบุคคลรอบข้างว่า“เป็นไปไม่ได้ ทำไม่ได้”


แต่ถ้าท่านยังไม่ตัดสินใจลงมือทำและแสดงศักยภาพอย่างเต็มที่

เราจะเป็นใครนั้นสิ่งสำคัญไม่ได้อยู่ที่ รูปลักษณ์ภายนอก แต่อยู่ที่ หัวใจ 


ของเราหัวใจที่ต้อง เชื่อถือศรัทธา ต่อตัวของเราเองเท่านั้นหัวใจที่… 


ศรัทธาในตัวของเราเองอย่างไม่คลอนแคลนหัวใจที่… เชื่อว่าเราคือ 


คนสำเร็จเราคือ พญาอินทรีที่ยิ่งใหญ่ ไม่ใช่ ไก่อัปลักษณ์“เราเป็นพญาอินทรี 


ไม่ใช่ ไก่จงกางปีกแล้วบินไปบนท้องฟ้าอันกว้างใหญ่เถิด”









วันจันทร์ที่ 20 สิงหาคม พ.ศ. 2555

อ๋อ เหรอคะ

อ๋อ เหรอคะ 

... ที่แอร์พอร์ต ผู้หญิง 2 คนกำลังยืนคุยกัน 
คนด้านซ้ายมือแต่งตัวเหมือนคุณหญิงใส่เพชรใส่ทองมากมาย
ท่าทางออกแนวสาวเปรี้ยว ส่วนคนด้านขวาแต่งตัวเรียบ ๆ 
ออกแนวสาวเรียบร้อยสุดๆ แล้วผู้หญิง 2 คนก็เริ่มคุยกัน 

สาวเปรี้ยว : สวัสดีค่ะมาเที่ยวคนเดียวเหมือนกันเหรอคะ 

สาวเรียบร้อย : ค่ะมาคนเดียว 

สาวเปรี้ยว :เนี่ย เดี๊ยน ไม่ได้มาเที่ยวอย่างเดียวหรอกนะคะกะว่าจะมา
ดูรถ Porche ไปให้ลูกใช้ซัก 2 คัน 

สาวเรียบร้อย : อ๋อเหรอคะ 

สาวเปรี้ยว : ตอนสมัยอยู่ฝรั่งเศส ก็ขับจากัวร์ กับเฟอร์รารี่เจ้าคุณพ่อซื้อให้ค่ะ
เงินสดนะคะ 

สาวเรียบร้อย : อ๋อเหรอคะ 

สาวเปรี้ยว :มานี่จะซื้อของขวัญให้ตัวเองซะหน่อยกะว่าจะซื้อ 
เพชรกลับเมืองไทยซัก 50 กะรัต 

สาวเรียบร้อย : อ๋อเหรอคะ 

สาวเปรี้ยว : แล้วคุณน้องหล่ะคะ ชีวิตเป็นไงบ้างค่ะ 

สาวเรียบร้อย : ก็ไม่มีอะไรคะ ชีวิตเรียบง่าย สมัยเรียน 
ท่านพ่อให้ไปเรียนในวัง ได้แต่เย็บปักถักร้อย ร้อยพวงมาลัย
และทำขนม ครูห้ามพูดคำหยาบ ครูบอกว่าถ้าจะด่าใครว่า ...อีตอแหล 
ให้พูดว่า อ๋อเหรอคะ... 

รู้เท่าทันโรคเส้นเลือดอุดตันในสมอง




เส้นเลือดอุดตันในสมอง.....อาการบ่งชี้ดังนี้
การทดสอบใช้เวลาอ่านบทความนี้เพียงไม่กี่นาทีเท่านั้น

ถ้าเราสามารถจำสิ่งง่ายๆเหล่านี้ได้ 
เราอาจมีโอกาสช่วยชีวิตคนบางคนได้.....

ระหว่างงานเลี้ยง เพื่อนคนหนึ่งสะดุดล้มลงไปกองกับพื้น
แต่เธอบอกกับทุกคนว่าเธอไม่เป็นไร
(เพื่อนๆถามว่าจะให้เรียกแพทย์มั้ย)
เธอบอกว่าเธอแค่สะดุดก้อนหินเพราะยังไม่ชินที่ใส่รอง
เท้าคู่ใหม่มาทุกคนช่วยกันปัดเศษสกปรกออก


ไปจากตัวเธอและไปตักอาหารมาให้ใหม่ ตัวเธอเองหลัง
จากนั้นรู้สึกว่าจะมีอาการสั่นเล็กน้อย แต่ก็สนุกสนานดี
ตลอดเย็นวันนั้น หลังจากนั้น สามีของเธอโทรหาเพื่อนๆ
ทุกคนว่า ภรรยาเขาถูกนำตัวส่งโรงพยาบาล (และเสียชีวิต
ในเช้าวันรุ่งขึ้น) เธอมีอาการของเส้นเลืดอุดตันในสมอง
ตั้งแต่ตอนที่อยู่ในงานเลี้ยงแล้ว

ถ้าทุกคนรู้ว่าเธอมีอาการนี้ เสียตั้งแต่แรก บางทีเธออาจ
จะยังอยู่กับพวกเราในวันนี้ก็ได้ บางคนก็ไม่เสียชีวิต แต่
ต้องใช้ชีวิตอย่างคนสิ้นหวังและช่วยเหลือตัวเองไม่ได้
(เพราะเป็นอัมพฤกษ์ หรืออัมพาต)

แพทย์ด้านประสาทวิทยากล่าววา ถ้าแพทย์สามารถไปถึงตัว
ผู้ป่วยเส้นเลือดสมองอุดตันได้ภายใน 3 ชั่วโมง
แพทย์จะสามารถช่วยชีวิตผู้ป่วยได้แน่นอน ที่สำคัญก็คือต้อง
ทราบว่าผู้ป่วยมีอาการของโรคนี้ วินิจฉัยได้ได้ จากนั้นก็ให้การ
รักษาภายใน 3 ชั่วโมง ซึ่งเรื่องจริงนั้นเป็นไปได้ยากอยู่
นอกจากจะรู้ก่อนว่ามันคือเส้นเลือดสมองอุดตัน

บางครั้งอาการของโรคเส้นเลือดสมองอุดตันก็เป็นการยากที่
จะรู้กันได้ แต่ที่ร้ายแรงกว่านั้นก็คือ  การไม่รู้อาจหมายถึงหายนะ
ได้ สมองผู้ป่วยอาจจะโดนทำลายอย่างรุนแรง แต่คนรอบข้าง
ไม่ได้รู้เลยว่านี่คืออาการของเส้นเลือดสมองอุดตัน


หมอบอกว่า คนที่ยืนอยู่รอบข้างก็สามารถรู้อาการได้
โดยคำถาม3 ข้อ ดังนี้

S *Ask the individual to SMILE. คือบอกให้ผู้ป่วย ยิ้ม

T *Ask the person to TALK and SPEAK A SIMPLE SENTENCE
(Coherently)(i.e.. It is sunny out today.)
คือบอกให้ผู้ป่วยพูด โดยอาจจะเป็นประโยคง่ายๆ เช่น วันนี้อากาศดีนะ

R *Ask him or her to RAISE BOTH ARMS.
คือบอกให้ผู้ป่วยยกแขนทั้งสองข้างขึ้น

ถ้าผู้ป่วยมีความลำบากในการทำข้อใดข้อหนึ่ง ให้โทร.หาเบอร์ฉุกเฉินทันที




และแจ้งไปว่าผู้ป่วยมีอาการ อย่างไร

Blood Clots/Stroke - They Now Have an Indicator, the Tongue
สัญญาณใหม่ของเส้นเลือดสมอง




อุดตัน -- แลบลิ้นออกมาดู
คือ ลองให้ผู้ป่วยแลบลิ้นออกมา หากลิ้นมีลักษณะม้วนงอ ตกไป
ด้านใดด้านหนึ่ง นั่นคือข้อบ่งชี้ว่ามีอาการเส้นเลือดสมองอุดตัน

แพทย์ผู้เชี่ยวชาญด้านหัวใจ บอกว่า หากคุณได้รับทราบข้อความนี้



และส่งต่อ อาจมีโอกาสช่วยชีวิตผู้ป่วยอย่างน้อย ๑ คน ก็เป็นได้
ปล. ถ้าพบเพื่อนมีอาการดังกล่าว




จะสามารถช่วยเขาได้อย่างทันท่วงที ก่อนที่จะเกิดความสูญเสีย
อย่างร้ายแรงครับ

เครดิตข้อมูลต้นเรื่อง http://www.mecklenburgmedical.org/body.cfm?id=114

วันศุกร์ที่ 17 สิงหาคม พ.ศ. 2555

ตาแก่กับหลานทั้งสี่

นานมาแล้ว มีตาแก่ผู้น่าสงสารอยู่คนนึง เมียและลูก
แกเสียชีวิตไปนานแล้ว แต่แกก็ยังต้องมีภาระเลี้ยงหลาน 
อีกสี่คนที่ชอบเอาแต่ใจตัวเอง วันๆ ไม่ทำ ไม่ช่วย อะไร
เลย ดีแต่ทะเลาะกันทุกวัน ว่าคนนั้นผิด คนนี้ผิด
ที่ไม่ทำอย่างนั้นไม่ทำอย่างงี้

จนมาวันนึงตาแก่ ป่วยหนักกำลังจะตาย ก็ยังอดห่วง
หลานไม่ได้ เพราะแกกลัวว่าหลานที่เอาแต่ใจตัวเอง
จะอยู่ในสังคม ในโลก ที่มีแต่คำว่า กูเก่ง ไม่ได้

ก่อนตายแกจึงเรียกหลานทั้งสี่ มานั่งล้อมวงที่โต๊ะสี่เหลี่ยม
แล้วให้หลานเอาผ้าผูกปิดตาไว้ทั้งสี่คน หลังจากนั้นแกก็
ไปหยิบ "ตะเกียง ทรงสี่เหลี่ยมมาหนึ่งอัน ซึ่งแต่ละด้าน
มีสีต่างกัน" มาตั้งไว้กลางโต๊ะที่เด็กทั้งสี่นั่งล้อมอยู่
แล้วให้หลานทั้งสี่ เปิดผ้าผูกตาออกพร้อมกัน จากนั้นตาแก่
ก็ถามหลานทั้งสี่คนว่า "เห็นตะเกียงสีอะไร"
หลานคนแรกบอกเห็น "สีแดง"
คนที่สองบอกเห็น "สีเหลือง"
คนที่สามบอกเห็น "สีเขียว"
คนที่สี่บอกเห็น "สีน้ำเงิน"
แล้วทั้งสี่ก็เริ่มทะเลาะกันอีก
ว่าสีที่ตัวเองเห็นนั้นถูกต้อง
จนตาแก่บอกว่าไม่มี ใครผิด ใครถูกหรอก หลานเอ๋ย
"เพราะตะเกียงมันมีสี่ด้าน" ถ้าใครอยากรู้ว่า ทำไมคนอื่นถึง
เห็นสีไม่เหมือนเรา "เราก็ต้องเดินไปดูในมุมของเค้า
เราก็จะเข้าใจว่าทำไมเค้าถึงบอกว่าเค้าเห็นสีนั้น"
"อย่ามองมุมของเรามุมเดียวแล้วตัดสิน"
เพราะคนเรามันต่างความคิดต่างมุมมอง
พอตาแก่พูดจบ แสงในตะเกียงก็ดับลงพร้อมกับชีวิตของแก

วันศุกร์ที่ 10 สิงหาคม พ.ศ. 2555

การคิดบวก


คนคิดบวก!!! ดีจริงหรือ???


ณ เมืองแห่งหนึ่งมีพระราชาองค์หนึ่ง
พระราชามีมหาดเล็กคู่ใจอยู่คนหนึ่ง
มหาดเล็กคนนี้เป็นคนที่มองโลกในแง่ดี คิดบวกสุดๆ
...
......
เมื่อฤดูแล้งมาถึง ชาวนาทำนาไม่ได้เลย
พระราชากลุ้มใจมากจึงถามมหาดเล็กว่า เจ้าคิดยังไง?
มหาดเล็กตอบว่า ดีพะยะค่ะ
พระราชาถามต่อว่า  ดียังงัย(งง)
มหาดเล็กยิ้มและบอกว่า ก็วัว ควายนั้น
มันทำงานกันหนักมาทั้งปี
มันจะได้มีโอกาสพักผ่อนกันบ้างงัย พะยะค่ะ
....
ครั้นมาถึงฤดูฝน มีฝนตกหนักตลอดเวลา
ชาวบ้านเดือดร้อนมาก ไปไหนมาไหนก็ไม่ได้
พระราชาก็เรียกมหาดเล็กคู่ใจมาถามเช่นเคย
คราวนี้เจ้าคิดอย่างไรล่ะ
มหาดเล็กก็ตอบว่า ดีพะยะค่ะ
พระราชาเริ่มเคือง ดียังงัยหา! ไปไหนมาไหนก็ไม่ได้
มหาดเล็กรีบตอบว่า ถือเป็นโอกาสดี
ที่เราจะได้กักเก็บน้ำไว้ใช้ในยามหน้าแล้ง ไงล่ะพะยะค่ะ
....
ต่อมาวันหนึ่ง พระราชานึกสนุกอยากออกไปล่าสัตว์
พระองค์นำดาบคู่กายมาทำความสะอาด
แต่พระราชาพลาดทำดาบหล่นไปตัดนิ้วหัวแม่เท้าขาด
พระราชานึกถึงมหาดเล็กคู่ใจ อยากรู้ว่า
มหาดเล็กจะตอบอย่างไรอีก จึงเรียกมหาดเล็กมาถามเช่นเคย
มหาดเล็กกลับตอบเหมือนเดิมว่า  ดีพะยะค่ะ
คราวนี้ พระราชาได้ฟังถึงกับโมโหและตะโกนว่า
อะไรกัน นิ้วหัวแม่เท้าของข้าขาด เจ้ายังจะว่าดีอีก
มหาดเล็กขยับจะตอบ แต่พระราชาโบกมือไม่ฟังเสียแล้ว
และสั่งให้ทหารเอาตัวมหาดเล็กไปขังในทันที
....
วันรุ่งขึ้น พระราชาก็ออกไปล่าสัตว์กับทหารจำนวนหนึ่ง
พระองค์ทรงล่ากวางสีขาวตัวหนึ่ง เข้าไปในป่าลึก
และแล้วเหตุการณ์ที่ไม่คาดคิดก็เกิดขึ้น
พระราชาและเหล่าทหารเผชิญหน้ากับมนุษย์กินคนจำนวนมาก
ในที่สุดพระราชาและทหารก็ถูกจับและถูกกินวันละคน
จนวันสุดท้ายเหลือพระราชาเพียงพระองค์เดียว
ในขณะที่มนุษย์กินคนกำลังต้มน้ำเพื่อจะกินพระราชา
ก้อเหลือบไปเห็นนิ้วหัวแม่เท้าของพระราชาขาด
หัวหน้าผู้ทำพิธี จึงบอกกับพวกพ้องของตนว่า
คนนี้กินไม่ได้เพราะนิ้วขาด เป็นกาลกิณี ต้องปล่อยไป
พระราชาจึงเป็นคนเดียวที่รอดจากการถูกกิน
และทรงรอนแรมเดินทางกลับมายังพระราชวังจนได้
....
เมื่อพระองค์กลับมาถึงวัง ก้อนึกถึงมหาดเล็กคู่ใจ
จึงสั่งทหารนำตัวมหาดเล็กมาเข้าเฝ้า
ทรงเล่าเรื่องราวให้มหาดเล็กฟัง
และว่าพระองค์รอดมาได้ ก็เพราะนิ้วขาดแท้ๆ
และถามมหาดเล็กว่า อยู่ในคุกเป็นอย่างไรบ้าง?
มหาดเล็กก็ตอบว่า ดีพะยะค่ะ
คราวนี้ พระราชาหัวเราะ และถามต่อว่า
ดียังงัยอีก เจ้าโดนข้าสั่งขังคุกเนี่ยนะดี
มหาดเล็กยิ้มและตอบว่า
หากข้าพระองค์ไม่ติดคุก ก็ต้องติดตามพระองค์ไปทุกที่
และคงไม่แคล้วถูกมนุษย์กินคนจับกินไปแล้วน่ะสิ พะยะค่ะ


ที่มา หนังสือถอดรหัสแนวคิดเพื่อชีวิตที่มีคุณค่า
ของ รศ.ดร.ชัยณรงค์ วงศ์ธีรทรัพย์

วันศุกร์ที่ 27 กรกฎาคม พ.ศ. 2555

ซูเลียน คืออะไร

วันนี้มีคำถามเกิดขึ้นว่า ซูเลียน คืออะไร
คำตอบง่าย ๆ ครับ

ซูเลียนเป็นส่วนหนึ่งในชีวิตประจำวันของทุกคน



คงจะปฏิเสธไม่ได้ว่าทุกวันนี้เราทุกคน  
ตั้งแต่ตื่นนอนมา
ทุกคนก็ต้องอาบน้ำ ล้างหน้า ซักผ้า แปรงฟัน 
ถ้าใช่ซูเลียนก็ถือเป็นส่วนหนึ่งในชีวิตประจำวันของทุกคน 
อย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้



วันพฤหัสบดีที่ 26 กรกฎาคม พ.ศ. 2555

น้ำดื่มป้องกันมะเร็ง


หนังสือ Water for Life   ศ.ดร.นพ. สมศักดิ์  วรคามิน หน้า 309
เนื่องจากในบางท่าน ร่างกายสะสมของเสีย ( Acidic Waste ) เอาไว้ในเซลล์อย่างเรื้อรังอาจจะ
เป็นเวลาสิบ ๆ ปี เมื่อน้ำที่มีโครงสร้างขนาดเล็กสามารถเข้าไปในเซลล์ นำสารพิษ (Toxin) ที่คั่ง
ค้างออกมาข้างนอกเซลล์ได้ง่ายและมีของเสียจำนวนมากในแต่ละครั้ง สมมุติว่าเมื่อพร้อม ๆ กันทั้ง
60 ล้านล้านเซลล์ของร่างกาย  สารพิษจะออกมามีปริมาณทีเดียวมากพอที่จะเกิดอาการโลหิตเป็นพิษ  
( Toxemia )  ในทันที ทำให้รู้สึกไม่สบาย เวียนศีรษะได้

ดังนั้นการดื่มน้ำจากเครื่องกรองที่มีการใช้อุปกรณ์แม่เหล็กในวันแรกจึงแนะนำให้ดื่มน้ำชนิดนี้เพียง
1-3 แก้วเท่านั้น เพื่อไม่ให้สารพิษ  ( Toxin ) เข้าโลหิตสูงเกินไป ร่างกายยังอ่อนแอ ปรับตัวไม่ทัน
ถ้ารู้สึกร่างกายไม่แข็งแรง  (  เพราะในร่างกายมีสารพิษสะสมไว้มาก )   ควรตั้งต้นเพียง 1 แก้วต่อวัน
อย่ารีบร้อนกินไปมาก ๆ ในระยะเริ่มต้นอาจต้องค่อย ๆ จิบด้วย อย่าดื่มทีเดียวหมดแก้ว แต่ถึงเกิดอาการ
ไม่สบายก็ไม่ควรตกใจเพราะเป็นความรู้สึกเพียงชั่วคราว แสดงถึงแนวทางของการแก้ปัญหาถูกต้องและ
จะต้องดีขึ้นเรื่อย ๆ ในที่สุด ( เราเรียกอาการอย่างนี้ว่า Healing Crisis-วิกฤติของการหาย เพราะมี
Toxin Discharge และถือว่าเป็นการดีท็อกซ์ – Detox อย่างหนึ่ง )

ได้มีการวิจัยในประเทศเยอรมันโดยศาสตราจารย์เกอร์ฮาด ปิออก (Professor Gerhard Pioch )
จากเมืองมิวนิค ( Munich) เมื่อให้ผู้ทดลองดื่มน้ำพลังแม่เหล็กเพื่อล้างพิษ พบว่าร่างกายสามารถคาย
สารเคมี ที่สะสมไว้ในตัวออกมา สารพิษบางชนิดตกค้างอยู่ในเซลล์ต่าง ๆ ของร่างกายนานกว่า 20 ปี
ก็มีที่ทราบได้เพราะจากการตรวจโลหิตของผู้ทดลอง พบยาฆ่าแมลง ดีดีที ( DDT ) ถูกขับออกมาอยู่
ในเลือด ซึ่งประเทศเยอรมันในขณะที่ทดลองน้ำดื่มอยู่นั้นมีกฎหมายห้ามใช้ยาฆ่าแมลง ดีดีที ( DDT )
มานานกว่า 20 ปี แล้ว

ก่อนดื่มน้ำพลังแม่เหล็กโปรดสังเกตว่าท่านมีอาการดังต่อไปนี้หรือไม่ (ให้ทำเครื่องหมาย / )
1.    …….. ท้องผูกเรื้อรัง           11. …….. ผิวพรรณหมองคล้ำ ไม่สดใส          21. …….. โรคหัวใจ
2.    …….. โรคไต                     12. …….. นอนไม่หลับ                                   22. ……..  สะเก็ดเงิน
3.    …….. นิ่ว                           13. …….. ความดันโลหิตสูง, ต่ำ                    23. ……..  ฮ่องกงฟุต
4.    …….. ผิวหนังผุพอง           14. ……..  โคเลสเตอรอลในเลือดสูง               24. ……..  โรคอ้วน
5.    …….. โรคเบาหวาน            15. ……..  ระดับน้ำตาลในเลือดสูง                 25. ……..  โรคมะเร็ง
6.    …….. ปวดหัวไมเกรน         16. ……..  เมาค้างทำงานไม่ได้                      26.……..  แผลในปาก
7.    …….. ท้องเดิน                   17. ……….  ปวดประจำเดือน                          27. ……   หินปูน
8.    …….. ภูมิแพ้                      18. ……..   ปวดตามข้อ                                 28. ……. หอบหืด
9.    …….. โรคแผลเปื่อยพุพอง   19. ………. กรดในกระเพาะอาหาร เรอเปรี้ยว  29. ……..  เก๊าท์
10…….. ท้องอืด ท้องเฟ้อ          20. ………  ปัสสาวะขัด กะปริด กะปรอย         30.  อื่นๆ คือ ……………………

ในช่วงแรกระหว่างดื่มน้ำพลังแม่เหล็ก ( 1 - 4 สัปดาห์ ) ท่านอาจมีอาการดังต่อไปนี้มากน้อย
ขึ้นอยู่กับสภาพร่างกาย
1.    ปวดหัวหรือรู้สึกมึนบริเวณต้นคอ                       7.  อุจจาระมีสีเข้ม  กลิ่นเหม็น
2.    มีสิวขึ้นบริเวณใบหน้าและศรีษะ                         8.  มีผื่นขึ้นตามบริเวณผิวหนัง
3.    ถ่ายท้องบ่อย แต่ไม่เกิดอาการเพลีย                      9.  ปวดบริเวณท้องน้อย
4.    ปัสสาวะบ่อยขึ้น มีสีเหลืองเข้ม มีกลิ่นมาก          10.  เหงื่อออกมากกว่าปกติ
5.    ปากลิ้นแห้งหรือคอแห้ง                                    11. ท้องอืด ท้องเฟ้อ
6.    มือเท้าไม่มีแรง                                                 12.  ร้อน ,หนาว ,หรือมีไข้